ผู้เขียน: admin

  • สามีภรรยาป่วย “มะเร็งกระเพาะอาหาร” ทั้งคู่ หมอชี้ต้นตอคือ “เมนูผัก” ที่พลาดตรงวิธีปรุง

    ผัวเมียชอบกินผัก กลับป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารทั้งคู่ หมอชี้ปัญหาไม่ใช่วัตถุดิบ แต่พลาดตรงวิธีปรุงที่ทำให้ก่อโรคร้าย

    ภรรยานามสกุลหลิวในมณฑลฝูเจี้ยน ประเทศจีน แผ่นดินใหญ่ เข้ารับการรักษาเนื่องจากปวดท้องซ้ำๆ และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ไม่นานนัก สามีของเธอก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารระหว่างตรวจร่างกาย หลังจากสอบถามประวัติการกิน แพทย์พบว่าทั้งคู่ชอบกินผักดองเป็นประจำ ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา “ทุกมื้ออาหารจะต้องมีผักดอง”

    ตามรายงานจาก “Jimu News” คู่สามีภรรยาทั้งสองเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำผักดองและมีชื่อเสียงในหมู่เพื่อนบ้านในหมู่บ้าน บางครั้งพวกเขาจัด “การแข่งขันทำผักดอง” เพื่อสนุกกับการทำอาหารพื้นบ้านแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม หญิงนามสกุลหลิว วัย 64 ปี เริ่มปวดท้องกะทันหันเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เมื่อไปโรงพยาบาลพบว่าเธอเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ส่วนสามีวัย 65 ปี นามสกุลหลิว ก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารขณะตรวจร่างกาย

    ต่อมาคู่สามีภรรยาและครอบครัวได้สอบถามและพบแพทย์เชี่ย เจี้ยนเว่ย หัวหน้าแผนกศัลยกรรมกระเพาะอาหาร โรงพยาบาลฟูเจี้ยนยูเนี่ยน แพทย์เชี่ย เจี้ยนเว่ย ได้วางแผนการรักษาโดยละเอียดสำหรับพวกเขาและดำเนินการผ่าตัดสำเร็จ โชคดีที่มะเร็งของทั้งคู่ยังอยู่ในระยะแรก และการฟื้นตัวหลังการผ่าตัดเป็นไปด้วยดี

    แพทย์เชี่ย เจี้ยนเว่ย อธิบายว่า สาเหตุของมะเร็งกระเพาะอาหารเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการกินที่ไม่ดีต่อสุขภาพและปัจจัยทางพันธุกรรม โดยผักดองเป็นอาหารที่มีปริมาณเกลือสูง การบริโภคต่อเนื่องเป็นเวลานานจะทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร และก่อให้เกิดมะเร็งได้ นอกจากนี้ “เอมีน” ซึ่งเป็นผลจากการย่อยสลายโปรตีนในกระเพาะ จะทำปฏิกิริยากับไนไตรต์ในร่างกาย เกิดเป็นไนโตรซามีนและสารอื่นๆ ที่มีฤทธิ์ก่อมะเร็ง

    แพทย์เชี่ย ยังเตือนว่า การทำผักดองควรหมักอย่างทั่วถึง โดยใช้เวลาหมักไม่น้อยกว่า 3 เดือน เพื่อช่วยลดปริมาณไนเตรตในผักดอง นอกจากนี้ เมื่อต้องการรับประทาน ควรลดการใส่เกลือในอาหารอื่นๆ หรือแช่ผักดองในน้ำสะอาด ล้างหลายครั้ง เพื่อลดปริมาณเกลือก่อนบริโภค

  • แพทย์ไต้หวันเตือน 10 พฤติกรรมทำร้ายไต อ่านแล้ว “อุ๊ย!” คนไทยตรงทุกข้อ ทำจนเป็นนิสัย

    แพทย์ไต้หวันเตือน 10 พฤติกรรมทำร้ายไตไม่รู้ตัว อ่านแล้ว “อุ๊ย!” ตรงทุกข้อ คนไทยจำนวนมากก็ทำอยู่ทุกวัน

    จากสถิติล่าสุดพบว่าจำนวนผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในไต้หวันมีมากกว่า 2 ล้านคน นายแพทย์หง หย่งเซียง ชี้ให้เห็นว่านอกจากปัจจัยจากโรค เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูงที่ทำให้ไตเสื่อมสภาพเร็วขึ้นแล้ว อีกส่วนหนึ่งของสาเหตุเกี่ยวข้องกับ “พฤติกรรมที่ทำร้ายไตโดยไม่รู้ตัว” อย่างมาก เขายังได้สรุป “10 พฤติกรรมประจำวันของคนไต้หวันที่ทำร้ายไต” และกระตุ้นให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเหล่านี้โดยเร็ว มิฉะนั้นอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการฟอกไตในอนาคตได้

    นายแพทย์หงกล่าว ว่าปกติแล้วร่างกายมนุษย์มีหน่วยกรองไต (glomerulus) ประมาณ 2 ล้านหน่วย และทุกครั้งที่หน่วยเหล่านี้ตายไป จะไม่สามารถฟื้นกลับมาได้ เขาอธิบายว่า การทำงานของไตจะถึงจุดสูงสุดในช่วงวัยรุ่น จากนั้นจะเริ่มลดลงเรื่อย ๆ เมื่ออายุเพิ่มขึ้น และเมื่ออายุยืนขึ้น ควรดูแลให้ไตทำงานได้อย่างเพียงพอและมีสุขภาพดีจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เปรียบเสมือนการ “ประหยัดการใช้งาน”

    10 พฤติกรรมประจำวันของคนไต้หวันที่ทำร้ายไต ที่นายแพทย์หงสรุปไว้ ได้แก่:

    1. ดื่มน้ำน้อยเกินไป
    2. รับประทานอาหารที่มีไขมัน, เกลือ และน้ำตาลสูง
    3. สูบบุหรี่และเผชิญกับมลพิษอากาศ PM2.5
    4. ความเครียดสูงและการนอนดึก
    5. ใช้ยาแก้ปวด, ยาปฏิชีวนะ และยาที่หาซื้อเองเกินความจำเป็น
    6. ดื่มเครื่องดื่ม ขนม และอาหารแปรรูป
    7. กลั้นปัสสาวะ
    8. นั่งนานโดยไม่เคลื่อนไหว
    9. การรับประทานอาหารเสริมและผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดวิธี
    10. การใช้ภาชนะใส่อาหารและเครื่องดื่มที่ไม่เหมาะสม

    นายแพทย์หงยังกล่าวว่า การใช้ถุงพลาสติกบรรจุอาหาร เช่น ก๋วยเตี๋ยวและซุปในร้านอาหาร ซึ่งพบได้บ่อยในไต้หวัน เป็นพฤติกรรมที่อันตรายต่อไต นอกจากนี้ การนั่งนานโดยไม่ขยับตัวก็ส่งผลเสียต่อระบบเผาผลาญและการไหลเวียนโลหิตอย่างร้ายแรง งานวิจัยหนึ่งพบว่า หากนั่งนานเกิน 6 ชั่วโมง ทุก ๆ ชั่วโมงที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลเสียต่อร่างกายเทียบเท่าการสูบบุหรี่ 2 มวน

    ที่แย่ยิ่งกว่านั้น หากนั่งนานและไม่ออกกำลังกาย งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งพบว่าพฤติกรรมทั้งสองนี้ส่งผลเสริมกัน และอาจเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และมะเร็ง 6 ชนิด ได้แก่ มะเร็งเต้านม, มะเร็งต่อมลูกหมาก, มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก, มะเร็งลำไส้ใหญ่, มะเร็งทวารหนัก และมะเร็งรังไข่ ซึ่งยังเพิ่มอัตราการเสียชีวิตอีกด้วย

    นายแพทย์หงยังเตือนว่า เครื่องดื่มชานมไข่มุกมีผลเสียต่อร่างกายมากกว่าเครื่องดื่มกระป๋อง เพราะมีน้ำตาลและฟรุกโตสมากกว่า โดยชานมไข่มุกหนึ่งแก้วมีพลังงานมากกว่า 700 แคลอรี หากดื่มเกินสัปดาห์ละ 3 ครั้ง การทำงานของไตจะเสื่อมสภาพเร็วขึ้นตามกาลเวลา

    ผู้ป่วยโรคไตในไทย

    ข้อมูลเมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2567 ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงสถานการณ์ผู้ป่วยโรคไตในประเทศไทยว่า ปัจจุบันคนไทยป่วยด้วยโรคไตสูงเป็นอันดับ 5 ของโลก โดยมีจำนวนผู้ป่วยประมาณ 11.6 ล้านคน อีกทั้งยังพบว่าอายุของผู้ป่วยโรคมีแนวโน้มลดลง จากเดิมที่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ เริ่มเปลี่ยนมาเป็นวัยกลางคนมากขึ้น เนื่องจากวิถีชีวิตในปัจจุบันมีการบริโภคอาหารรสจัด รับประทานอาหารปรุงสำเร็จหรืออาหารกล่องที่ไม่รู้ว่าผู้ขายใส่สารเคมีอะไรมาบ้าง ทำให้ไตเริ่มเสื่อมโดยไม่รู้ตัว ซึ่งต้องช่วยกันป้องกันโดยลดพฤติกรรมบริโภคที่เสี่ยงต่อภาวะไตเสื่อม 

    ทั้งนี้โรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย กล่าวได้ว่าเป็นโรคล้มละลาย เพราะต้องบำบัดทดแทนไตไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ผ่าตัดเปลี่ยนไต เช่น การฟอกเลือด สมัยก่อนค่าฟอกเลือดครั้งละ 4,000-5,000 บาท ทั้งต้องทำการฟอกเลือด 10-15 ครั้งต่อเดือน ดังนั้นผู้ป่วยมีเงินเท่าไหร่ก็หมด

     

  • เงินเยียวยาน้ำท่วม 9,000 บาท เช็กรายชื่อจังหวัดรับเงินโอนเข้าบัญชี 13 ม.ค. 68

    เงินเยียวยาน้ำท่วม 9,000 บาท เช็กรายชื่อจังหวัดไหน รับเงินโอนเข้าบัญชี 13 ม.ค. 68

    เงินเยียวยาน้ำท่วม ปภ. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โอนเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยกรณึพิเศษ 9,000 บาท รอบที่ 8 ในพื้นที่ โดยเมื่อวันศุกร์ที่ 10 ม.ค. 68 ได้โอนเงินให้ประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดดังนี้

    • พัทลุง
    • สงขลา
    • ชัยนาท
    • ยะลา
    • รวมจำนวน 7,517 ครัวเรือน

    สรุปภาพรวมการจ่ายเงินช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2567 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 67 มีประชาชนลงทะเบียนขอรับเงินช่วยเหลือทั้งสิ้น 1,157,149 ครัวเรือน

    • ผ่านการประชาคมหมู่บ้านแล้ว 774,409 ครัวเรือน
    • ผ่านการประชุมคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ (ก.ช.ภ.อ.) แล้ว 544,067 ครัวเรือน
    • ผ่านการประชุมคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.)
    • ส่งข้อมูลให้ ปภ. แล้ว จำนวน 464,575 ครัวเรือน ซึ่ง ปภ. ส่งข้อมูลให้ธนาคารออมสินแล้วจำนวน 436,393 ครัวเรือน และธนาคารออมสินโอนเงินให้ผู้ประสบภัยแล้ว 7 ครั้ง จำนวน 409,367 ครัวเรือน เป็นเงินกว่า 3,684.303 ล้านบาท

    พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วม วันที่ 20 พ.ค. – 2 พ.ย. 67

    • จ.ชัยนาท
    • จ.บุรีรัมย์
    • จ.สมุทรสาคร
    • จ.สิงห์บุรี

    พื้นที่ 12 จังหวัดภาคใต้ วันที่ 3 พ.ย. 67 – 31 ธ.ค. 67

    • จ.กระบี่
    • จ.ชุมพร
    • จ.นครศรีธรรมราช
    • จ.นราธิวาส
    • จ.ปัตตานี
    • จ.ประจวบคีรีขันธ์
    • จ.ตรัง
    • จ.พัทลุง
    • จ.ยะลา
    • จ.สงขลา
    • จ.สตูล
    • จ.สุราษฎร์ธานี

    โอนเงินเยียวยาน้ำท่วม 9,000 บาท รอบที่ 9 วันไหน

    • วันที่ 13 ม.ค. 68
    • ประชาชนในพื้นที่ จ.ยะลา จำนวน 13,335 ครัวเรือน

    วิธีโอนเงินเยียวยาน้ำท่วม 9,000 บาท

    • โอนผ่านบัญชีพร้อมเพย์เลขบัตรประชาชน
    • โอนผ่านธนาคารออมสิน 2 วันทำการ
    • โอนผ่านธนาคารอื่นๆ 3 วันทำการ

    วิธีเช็กสถานะเงินเยียวยาน้ำท่วม 9,000 บาท

    1. เข้าเว็บไซต์ https://flood67.disaster.go.th/HELP/Check
    2. หลังจากนั้น กรอกเลขที่บัตรประชาชนจำนวน 13 หลัก ไม่ต้องเว้นวรรค
    3. คลิก ตรวจสอบสถานะ

    อ่านเพิ่มเติม

    วิธีเช็กสถานะเงินเยียวยาน้ำท่วม 9,000 บาทวิธีเช็กสถานะเงินเยียวยาน้ำท่วม

  • อร่อยไม่เท่ากัน เมนูยอดแย่ 100 อันดับ ที่คนทั่วโลก “ไม่แนะนำ” อาหารไทยติด 4 รายการ!!!

    เช็กรายชื่อ 100 อันดับ “อาหารยอดแย่” ที่คนทั่วโลกไม่แนะนำ พบเมนูจากประเทศไทยติด 4 รายการ เมื่อคำว่าอร่อยของเราไม่เท่ากัน

    TasteAtlas เว็บไซต์ไกด์ท่องเที่ยวได้รวบรวมรายชื่อ 100 อาหารที่ได้รับคะแนนการจัดอันดับ “ต่ำที่สุด” จากผู้คน นักชิม หรือนักวิจารณ์ทั่วโลก โดยรวบรวมผลจากการกดให้คะแนนเกือบ 600,000 ครั้ง

    ซึ่งจานที่ได้คะแนนต่ำสุดคือ BLODPLAT (บลัดพาลท์) หรือเกี๊ยวจากประเทศฟินแลนด์ ทำจากแป้งไรย์หรือแป้งบาร์เลย์ที่ผสมกับเลือดสัตว์ ซึ่งได้รับคะแนนเพียง 1.6 ดาวจาก 5 ดาว

    ส่วนอาหารไทยที่อยู่ในรายการ “อาหารยอดแย่” มีทั้งหมด 4 เมนูคือ แกงไตปลา อันดับที่ 10 , หนอนไหม อันดับที่ 11 , ไข่ลูกเขย อันดับที่ 35 และต้มจืด อันดับที่ 63

    การจัดอันดับนี้เป็นการสะท้อนความคิดเห็นของนักชิมจาก TasteAtlas แต่เว็บไซต์ยืนยันว่าสิ่งนี้ไม่ควรถูกมองเป็นการสรุปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอาหารระดับโลก โดยกล่าวว่า “จุดประสงค์ของพวกเขาคือการส่งเสริมอาหารท้องถิ่นที่ยอดเยี่ยม สร้างความภาคภูมิใจในอาหารดั้งเดิม และกระตุ้นความสนใจในจานอาหารที่คุณยังไม่เคยลอง”

  • หมอไต้หวันแนะนำ “ผักต้านมะเร็งสุดแกร่ง” ซ่อนอยู่ในครัว ควรกินทุกวัน ที่ไทยมีครบ

    ควรรับประทานทุกวัน! หมอไต้หวันแนะนำ “ผักต้านมะเร็งสุดแกร่ง” ซ่อนอยู่ในครัว ป้องกันมะเร็ง 7 ชนิด

    บรอกโคลีและผักตระกูลกะหล่ำขึ้นชื่อว่าเป็น “ผักต้านมะเร็ง” แต่คุณรู้หรือไม่? ผักในครัวอย่างหัวหอม กุยช่าย กระเทียม และต้นหอม ก็มีประสิทธิภาพต้านมะเร็งไม่แพ้กัน

    แพทย์ฉุกเฉิน ดร.จาง ซื่อเหิง เผยว่า ผักเหล่านี้อุดมไปด้วยสารกำมะถันอินทรีย์และไฟโตเคมิคอล ที่ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง ไม่เพียงเพิ่มกลิ่นหอมให้อาหาร แต่ยังมีพลังต้านมะเร็งที่น่าทึ่งอีกด้วย

    ดร.จาง ซื่อเหิง ได้แชร์ผ่านช่อง YouTube ของเขาภายใต้หัวข้อ “ผักชนิดนี้คืออาวุธลับต้านมะเร็งที่ทรงพลังที่สุด มีชื่อว่ากลุ่มหินลิ้นมังกรหรือพืชตระกูลหัวหอม” เมื่อหอมหัวใหญ่ถูกหั่น จะปล่อยก๊าซกำมะถัน (SPSO) ออกมา ซึ่งเมื่อสัมผัสกับชั้นน้ำตาบนผิวดวงตา จะเกิดกรดกำมะถันในปริมาณเล็กน้อย ทำให้ดวงตาหลั่งน้ำตาออกมาเพื่อชะล้าง ส่วนต้นหอมก็มีผลคล้ายกัน แต่เนื่องจากมีสารดังกล่าวน้อยกว่า จึงเกิดปฏิกิริยาเบากว่า

    หัวหอม, ต้นหอม, กระเทียม และกุยช่าย ซึ่งมีกลิ่นแรงโดดเด่น มีจุดเด่นร่วมกันคืออุดมไปด้วยสารประกอบกำมะถันอินทรีย์ สารเหล่านี้ไม่เพียงเป็นแหล่งของกลิ่นหอมเฉพาะตัว แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญในการเพิ่มรสชาติ แต่อย่ารับประทานมากเกินไป เพราะอาจทำให้มีกลิ่นปากได้

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผักตระกูลหอมได้รับความสนใจอย่างมากในฐานะผักต้านมะเร็ง เนื่องจากอุดมไปด้วยสารกำมะถันต้านมะเร็งและไฟโตนิวเทรียนต์ เช่น เควอซิทิน (Quercetin) และฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ซึ่งมีศักยภาพในการยับยั้งเซลล์มะเร็ง

    ดร.จาง ซื่อเหิง ชี้ว่า จากงานวิจัยทางระบาดวิทยาขนาดใหญ่พบว่า ผู้ที่รับประทานผักตระกูลหอมในปริมาณมากทุกวัน มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งศีรษะและลำคอ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งปอด มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งเต้านม ลดลงอย่างชัดเจน

    กินสดหรือปรุงสุก ต่างกันอย่างไร

    สารสำคัญในหัวหอมแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ สารกำมะถันอินทรีย์ที่ไวต่อความร้อน และโพลีฟีนอลต้านอนุมูลอิสระ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า:

    • กินสด: ช่วยเสริมประสิทธิภาพการต้านมะเร็งสูงสุด ควรสับหัวหอมแล้วพักไว้ 10 นาทีก่อนรับประทาน
    • ปรุงสุก: ใช้น้ำมันผัดด้วยไฟอ่อน (ประมาณ 160 องศา) นาน 4-8 นาที จะช่วยปลดปล่อยสารต้านอนุมูลอิสระได้มากขึ้น
    • วิธีที่ดีที่สุด: สลับรับประทานทั้งแบบสดและปรุงสุก เพื่อให้ได้คุณค่าทางโภชนาการสูงสุด

    นอกจากนี้ กระเทียมดำเกิดจากการนำกระเทียมสดมาหมักในสภาพแวดล้อมที่อุณหภูมิ 60 องศาและความชื้นประมาณ 80% เป็นเวลาหลายสัปดาห์ งานวิจัยพบว่า กระเทียมดำมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระที่ดีกว่า ขณะที่กระเทียมสดมีประสิทธิภาพในการต้านการอักเสบได้ดียิ่งกว่า

    ดร.จาง ซื่อเหิง เตือนเป็นพิเศษว่า ผักตระกูลหอมมีพิษต่อสัตว์เลี้ยง เนื่องจากมีสารกำมะถัน DPDS ซึ่งอาจทำให้สัตว์เลี้ยงเป็นโรคโลหิตจาง และในกรณีรุนแรงอาจเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวหรือการหายใจล้มเหลวได้ เจ้าของสัตว์เลี้ยงควรหลีกเลี่ยงการให้อาหาร และระมัดระวังไม่ให้สัตว์เลี้ยงเข้าใกล้ขณะหั่นผัก

  • ศัลยแพทย์หัวใจ ประสบการณ์ 25 ปี เผย 4 สิ่งที่ตัวเองยังหลีกเลี่ยง รวมถึงน้ำยาบ้วนปาก

    ศัลยแพทย์หัวใจ ผู้มีประสบการณ์กว่า 25 ปี เผย 4 สิ่งที่เขาหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด รวมถึงน้ำยาบ้วนปาก

    ดร.เจเรมี ลอนดอน ศัลยแพทย์หัวใจ ผู้มีประสบการณ์กว่า 25 ปี ซึ่งเคยรักษาผู้ป่วยนับพันรายตลอดอาชีพ ได้สั่งสมความรู้ล้ำค่ามากมายเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์ แม้หลายคนทราบดีว่าการใช้ชีวิตบางอย่างเชื่อมโยงกับโรคเรื้อรัง แต่แพทย์ผู้นี้เชื่อว่าหลายคนยังไม่รู้ว่า สิ่งที่เราใช้ในชีวิตประจำวันก็ส่งผลต่อสุขภาพได้เช่นกัน

    ผู้เชี่ยวชาญชาวอเมริกันเผยประสบการณ์การทำงาน ซึ่งทำให้เขาตระหนักถึงความสำคัญของการใส่ใจสิ่งที่เรานำเข้าสู่ร่างกาย การตัดสินใจที่ผิดพลาดอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้

    ในวิดีโอล่าสุดบนช่อง YouTube ของเขา (@drjeremylondon) ดร.เจเรมี ลอนดอน ได้เปิดเผย 4 สิ่งที่เขาหลีกเลี่ยงเพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรง

    การสูบบุหรี่

    แม้จะดูชัดเจนว่าศัลยแพทย์หัวใจคงไม่แนะนำให้สูบบุหรี่ แต่คำเตือนจาก ดร.เจเรมี ลอนดอน อาจทำให้คุณตระหนักถึงผลเสียอย่างลึกซึ้ง

    ไม่ว่าคุณจะสูบบุหรี่แบบดั้งเดิมหรือใช้บุหรี่ไฟฟ้า คุณกำลังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ มะเร็ง โรคปอด และปัญหาสุขภาพอื่น ๆ

    ดร.ลอนดอน กล่าวว่า การสูบบุหรี่คือ “สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่คุณสามารถทำกับตัวเองได้” เพราะมันทำลายเยื่อบุหลอดเลือดโดยตรง เพิ่มความเสี่ยงของหลอดเลือดอุดตัน และเป็นสาเหตุของมะเร็ง

    ในสหราชอาณาจักร การสูบบุหรี่ยังคงเป็นสาเหตุหลักของโรคและการเสียชีวิตที่สามารถป้องกันได้

    น้ำยาบ้วนปาก

    แม้การใช้น้ำยาบ้วนปากอาจดูไร้พิษภัย แต่มีงานวิจัยชี้ว่าน้ำยาบ้วนปากบางชนิด โดยเฉพาะที่มีส่วนผสมของสารต้านแบคทีเรีย อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพช่องปาก และกระทบต่อสุขภาพในส่วนอื่นของร่างกาย

    ดร.เจเรมี ลอนดอน อธิบายว่า น้ำยาบ้วนปากสามารถกำจัดทั้งแบคทีเรียที่เป็นอันตรายและแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในปาก ซึ่งส่งผลให้สมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ถูกรบกวน

    “โดยเฉพาะน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์” เขากล่าว “ไมโครไบโอมในลำไส้ หรือแบคทีเรียดีในร่างกายเรา เริ่มต้นที่ปาก หากแบคทีเรียนี้ถูกทำลาย สมดุลในลำไส้ของคุณอาจเสียได้”

    อาหารแปรรูป

    คุณจะไม่มีวันเป็นคนที่มีสุขภาพดีได้หากดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารแปรรูปตลอดเวลา ซึ่ง ดร.เจเรมี ลอนดอน ต้องการเตือนให้ทุกคนตระหนักว่าการรับประทานอาหารที่ดีคือกุญแจสำคัญสู่สุขภาพที่ดี

    แม้จะเป็นตัวเลือกที่ง่ายและรวดเร็ว แต่อาหารแปรรูปเหล่านี้จะส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว และระบบบริการสุขภาพแห่งชาติ (NHS) ยังเตือนว่า การบริโภคอาหารเหล่านี้ในปริมาณมากเกินไปจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วน เบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจ และมะเร็งลำไส้

    “จำกัดหรือเลี่ยงอาหารแปรรูปในชีวิตประจำวัน” ดร.ลอนดอนกล่าว

    “คุณเป็นสิ่งที่คุณกินจริง ๆ โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตที่คุณบริโภคให้พลังงานและเป็นส่วนประกอบสำคัญของทุกเซลล์ในร่างกาย”

    แอลกอฮอล์

    ดร.ลอนดอน แนะนำว่า ควรหยุดดื่มแอลกอฮอล์ แม้บางคนอาจคิดว่าไวน์แก้วหนึ่งในตอนกลางคืนดีต่อสุขภาพ แต่ ดร.ลอนดอน ไม่มั่นใจนัก เพราะแม้ในปริมาณเล็กน้อยก็เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ

    “ขอโทษที่ต้องบอก แต่มันยังมีคำถามเกี่ยวกับการดื่มแอลกอฮอล์ในระดับปานกลาง” เขากล่าวในคลิป “มันเป็นพิษต่อทุกเซลล์ในร่างกายของคุณ”

    “สำหรับตัวผมเอง การเลิกดื่มแอลกอฮอล์ถือเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่เปลี่ยนแปลงชีวิตที่สุดที่ผมทำในฐานะผู้ใหญ่”

    ชาวเน็ตหลายคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคำแนะนำของ ดร.ลอนดอน หลายคนรู้สึกประหลาดใจที่น้ำยาบ้วนปากติดอยู่ในลิสต์ด้วย อาทิ “ผมไม่รู้มาก่อนว่ามีน้ำยาบ้วนปากที่มีแอลกอฮอล์ ขอบคุณครับคุณหมอ”, “มันเป็นความจริงทั้งหมด หลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”, “เพิ่งทิ้งน้ำยาบ้วนปากไป และเริ่มใส่ใจเรื่องการรับประทานอาหารมากขึ้น”, “ในฐานะผู้ป่วยโรคหัวใจ ผมเห็นด้วยกับข้อความนี้” และ “สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ผมเรียนรู้ที่จะหลีกเลี่ยง ทำเพื่อตัวคุณเอง โดยเฉพาะถ้าคุณยังอายุน้อย และเข้าใจว่าจริง ๆ แล้วสุขภาพคือสิ่งที่สำคัญที่สุด”

  • ย้อนดูคฤหาสน์พันล้าน “ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์” วันนี้เหลือแค่ความทรงจำไฟป่าเผาเหลือแต่เถ้าถ่าน

    ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ นางงามจักรวาลคนที่สองของไทย ย้อนดูภาพคฤหาสน์พันล้าน วันนี้เหลือเพียงความทรงจำไฟป่าเผาวอด

    นางงามจักรวาลคนที่สองของเมืองไทย ปุ๋ย-ภรณ์ทิพย์ ไซม่อน ภรรยาของนักธุรกิจชาวอเมริกัน เฮิร์บ ไซม่อน เจ้าของบริษัทพัฒนาไซมอน หนึ่งในหุ้นใหญ่ของธุรกิจขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกา เช่น ห้างนอร์ดสตอร์ม มีทายาท 2 คน คนโตเป็นหนุ่มแล้ว ฌอน ไซมอน และคนเล็ก น้องโซฟี ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่นครลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา 

    ก่อนหน้านี้มีภาพครอบครัวของ ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ พร้อมกับลูกๆ และเพื่อนๆ ของลูกๆ จัดปาร์ตี้เล็กๆ อย่างอบอุ่นในกันบ้านพักคฤหาสน์สุดหรู  

    ซึ่งจากภาพดังกล่าวทำให้ได้เห็นวิวและบรรยากาศของคฤหาสน์พันล้านของครอบครัวไซม่อน เป็นบ้านที่อยู่ในเมืองมอนเตซิโต ในแคลิฟอร์เนีย เป็นวิวภูเขาสวยงามมาก เรียกว่าคฤหาสน์หลังนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวและทรัพย์ที่มีคุณค่าทางจิตใจ วันนี้ไฟป่าเผาไหม้เหลือเพียงแค่ความทรงจำ 

    แฟนๆ ต่างส่งกำลังใจให้ ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ อย่างล้นหลามเลยทีเดียว 

     

     

  • “กะหล่ำปลี” กับผลกระทบด้านสุขภาพ แบบไม่คาดคิดมาก่อน

    กะหล่ำปลีเป็นผักใบเขียวชนิดหนึ่งในวงศ์เดียวกับผักตระกูลกะหล่ำ เช่น ดอกกะหล่ำปลี บร็อคโคลี และบรัสเซลส์สเปร็อด มีหลากหลายสายพันธุ์ เช่น กะหล่ำปลีแดง ม่วง เขียว และขาว แต่กะหล่ำปลีเขียวเป็นที่นิยมและหาซื้อได้ง่ายที่สุด สามารถรับประทานได้ทั้งแบบผักสดและสลัด กะหล่ำปลีอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญมากมาย เช่น วิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ และใยอาหาร จึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพและความงามอย่างมาก อย่างไรก็ตาม การรับประทานกะหล่ำปลีมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ จึงควรระมัดระวังในการบริโภค

    ผลกระทบด้านสุขภาพของกะหล่ำปลี

    1.เสี่ยงต่อการเกิดโรคคอพอก กะหล่ำปลีเป็นผักที่มีใยอาหารสูง ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี แต่หากรับประทานมากเกินไป อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ เนื่องจากมีสารกอยโตรเจนที่ขัดขวางการดูดซึมไอโอดีน ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคคอพอก

    2.อาจทำให้ได้รับสารเคมีตกค้างสะสม กะหล่ำปลีที่ปลูกโดยใช้สารเคมี เมื่อรับประทานดิบ อาจทำให้ร่างกายได้รับสารเคมีตกค้าง

    3.สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้ต่อผักในวงศ์ผักกาดและกะหล่ำ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานกะหล่ำปลีเนื่องจากอาจเกิดอาการแพ้ อาเจียน ผื่นขึ้น ใบหน้าและลิ้นบวมได้

    4. ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานและผู้ที่มีการทำงานของต่อมไทรอยด์ผิดปกติก็ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานกะหล่ำปลีด้วยเช่นกัน เพราะกะหล่ำปลีอาจส่งผลให้ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยลง เนื่องจากกะหล่ำปลี โดยเฉพาะกะหล่ำปลีดิบ อาจมีสารยับยั้งที่ไปขัดขวางการสร้างฮอร์โมนในต่อมไทรอยด์

    5. เนื่องจากกะหล่ำปลีมีส่วนช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด หากรับประทานในปริมาณมาก โดยเฉพาะผู้ที่จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด อาจส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงมากเกินไประหว่างผ่าตัด ที่อาจนำไปสู่อาการชักหมดสติ ดังนั้นจึงควรหยุดรับประทานกะหล่ำปลีอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ก่อนการผ่าตัด

    เพื่อลดความเสี่ยงจากปัญหาเหล่านี้ ควรล้างกะหล่ำปลีให้สะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อหรือด่างทับทิมก่อนนำไปประกอบอาหาร การปรุงอาหารด้วยความร้อนจะช่วยลดปริมาณสารเคมีตกค้างและทำลายสารกอยโตรเจนได้อีกด้วย

     

     

     

  • “คุณยายที่เซ็กซี่ที่สุด” เคล็ดลับคือผลไม้ 1 อย่าง ทั้งกินและทาผิว บอกอายุใครก็ไม่เชื่อ!

    บอกอายุใครก็ไม่เชื่อ สมฉายา “คุณยายที่เซ็กซี่ที่สุด” เผยเคล็ดลับคือผลไม้ 1 อย่าง ใช้ทั้งกินและทาผิว!

    “จีน่า สจ๊วร์ต” (Gina Stewart) บุคคลที่เป็นที่รู้จักในวงการสื่อสังคมออนไลน์และในวงการนางแบบจากประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะ “คุณยายที่เซ็กซี่ที่สุดในโลก” ปัจจุบันอายุ 54 ปีแล้ว แต่มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้หญิงที่อายุน้อยกว่านั้นมาก

    คุณยายที่เซ็กซี่ที่สุดในโลก ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เดลีสตาร์ว่า “เลมอน” หรือ “มะนาว” เป็นผลไม้ที่มีความสำคัญมากๆ ต่อรูปลักษณ์ที่ดูอ่อนเยาว์ของเธอ และถึงกับบอกตรงๆ ว่าเธอใช้ผลไม้รสเปรี้ยวชนิดนี้ ทดแทนการทาโรลออนในตอนเช้า หรือผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายอื่นๆ ได้ด้วยซ้ำ

    “ฉันใช้เลมอนเป็นผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายใต้วงแขน และเลมอนก็ติดทนนานกว่า 24 ชั่วโมงเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายอื่นๆ ในท้องตลาด เลมอนช่วยปกป้องผิวของฉันได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่มีกลิ่น และเป็นผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวจากธรรมชาติ 100%”

    “มันเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับสุขภาพและความฟิตของฉัน โดยเฉพาะผิวพรรณ และฉันอยากแนะนำให้คนอื่นๆ ทำเช่นเดียวกัน เพราะมะนาวมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย”

    เธอยืนกรานว่ามะนาวคือสาเหตุที่ทำให้เธอดูสดชื่นอยู่เสมอ ซึ่งนอกจากจะใช้เลมอนแทนผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายแล้ว ยังดื่มน้ำมะนาว 2 ลูกเป็นประจำทุกวัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอทำมาหลายปีแล้ว เพราะว่ามีแคลอรี่ต่ำ แต่มีวิตามินและสารอาหารสูง โดยจีน่าได้ระบุประโยชน์ต่อสุขภาพของการบริโภคมะนาวในทุกวัน ดังนี้

    1. ระบบภูมิคุ้มกัน: วิตามินซีในมะนาวช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
    2. ควบคุมน้ำหนัก: วิตามินซีในมะนาวอาจช่วยการจัดการน้ำหนักได้
    3. นิ่วในไต: กรดซิตริกในมะนาวอาจช่วยป้องกันนิ่วในไตได้
    4. อาการเจ็บคอ: การดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวและน้ำผึ้งสามารถบรรเทาอาการเจ็บคอได้
    5. สุขภาพผิว: วิตามินซีต่อต้านวัยช่วยให้ร่างกายสร้างคอลลาเจน ซึ่งช่วยบำรุงผิวและความยืดหยุ่น
    6. การขาดน้ำ: การดื่มน้ำมะนาวสามารถช่วยป้องกันการขาดน้ำและลดความเสี่ยงของโรคลมแดดได้

    จีน่า ผู้หญิงจากโกลด์โคสต์ เป็นคุณแม่ตั้งแต่อายุเพียง 19 ปี และตอนนี้เธอก็มีลูกที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว 3 คน และยังมีลูกสาววัย 10 ขวบอีกด้วย ในปี 2019 หลังจากเข้าร่วมการแข่งขันเพื่อระดมทุนช่วยเหลือเพื่อนที่ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งส่งผลให้เธอได้รับเลือกให้ติดอยู่ในรายชื่อ Maxim Australia Hot 100 ในปีนั้น และเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาเป็นครั้งแรก

  • ทั่วโลกต้องจดจำ! WBC โพสต์ยกย่อง “ศรีสะเกษ” โคตรมวยชาวไทยผู้ช็อกโลก

    ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ สภามวยโลก (WBC) สถาบ้นหลักของวงการกำปั้นโลก ยกย่องให้เป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ที่ของวงการมวยโลก และของสถาบันพวกเขา

    โดยล่าสุด “สภามวยโลก” ได้ออกมายกย่อง “เจ้าแหลม” ศรีสะเกษ ศ.รุ่งวิสัย อดีตแชมป์โลกชาวไทย ในรุ่นซูเปอร์ฟลายเวต ว่าเป็นนักมวยที่ทั่วโลกต้องจดจำ WBC Classics พร้อมข้อความ

    srio

    “ศรีสะเกษ สร้างความแปลกใจให้กับทั่วโลกด้วยการเอาชนะ โรมัน กอนซาเลซ ได้ถึงสองครั้งในปี 2017, อดีตแชมป์ WBC สร้างชื่อให้กับตัวเองทั้งในบ้านเกิด และทั่วโลก”

    สำหรับไฟต์สร้างชื่อให้เป็นที่รู้จักของทั่วโลกก็คือการที่สามารถเอาชนะคะแนน โรมัน กอนซาเลซ ยอดกำปั้นชาวนิการากัว ที่เคยถูกยกว่าเป็นเบอร์ 1 ของโลกเมื่อเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ ผงาดแชมป์โลกสมัย 2 ทันที

    wbctaxz2

    แถมยังตอกย้ำความเป็นเบอร์ 1 แทนด้วยการเอาชนะน็อก โรมัน กอนซาเลซ ในยกที่ 4 ได้อีกครั้งในการป้องกันตำแหน่งครั้งแรก และถูกยกให้เป็น “น็อกเอาต์แห่งปี 2017”

    แม้สุดท้าย นักชกชาวไทย จะเสียเข็มขัดแชมป์โลกให้กับ ฮวน ฟรานซิสโก เอสตราด้า โคตรมวยชาวเม็กซิกัน แต่ชื่อของ ศรีสะเกษ ศ.รุ่งวิสัย ก็ถูกจารึกว่าเป็นนักมวยชาวไทย ที่เคยเดินทางไปสร้างชื่อถึงแผ่นดินสหรัฐฯ ถึง 5 ไฟต์

    อ่านเพิ่มเติม